
'พิมรี่พาย'เผยเคยถูกสอน'โชคดีเป็นคนไทย' โตมาอยากย้อนเลย
พิมรี่พาย เผยถูกสอนตั้งแต่เด็ก "โชคดีแค่ไหนที่เกิดเป็นคนไทย" โตมาอยากย้อนถาม "เคยไปเห็นเมืองนอกรึยัง" ทิ้งปริศนาขอบคุณใคร??? ทำให้รู้ก่อนตาย ไม่ตายไปแบบเข้าใจผิด
ครม. ไฟเขียวลดชั้น “อธิบดีกรมการปกครอง” เข้ากรุคลองหลอด เผยเส้นทาง “อธิบดีคนใหม่” ก้าวหน้าตาม “คนโต” เมืองบุรีรัมย์เรืองอำนาจ หึ่งเด้งสายฟ้าแลบเหตุไม่สนองนโยบายอื้อซ่า พุธที่ 28 เมษายน 2553 เวลา 07.48 น.
ภท.ปัดโยงการเลือกตั้ง"วงศ์ศักดิ์"ยอมรับคำสั่ง
ครม. ไฟเขียวลดชั้น “อธิบดีกรมการปกครอง” เข้ากรุคลองหลอด เผยเส้นทาง “อธิบดีคนใหม่” ก้าวหน้าตาม “คนโต” เมืองบุรีรัมย์เรืองอำนาจ หึ่งเด้งสายฟ้าแลบเหตุไม่สนองนโยบายอื้อซ่า ขณะที่ “วงศ์ศักดิ์” ก้มหน้ารับชะตากรรม ลั่นเป็นลูกผู้ชายไม่ร้องงอแง ยันไม่ร่วมมือทำสิ่งไม่ถูกต้อง พร้อมระบุท้า “มท.1” ย้ายลดเกรดมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ ปัดงัดข้อ “น้องเนวิน” ตามสูตร ด้าน “ภูมิใจไทย” ปัดโยงเลือกตั้ง อ้างเหตุย้ายเพราะถูก “ป.ป.ช.” สอบคดีทุจริตสอบเข้าโรงเรียน นอภ. ขณะที่ “มาร์ค” หักหน้า “เทือก” อีกยก ทุบโต๊ะเปรี้ยงสั่งแจงสภาสูง 3 พ.ค. หวังแก้วิกฤติม็อบแดง ฝ่าย “เด็กแม้ว” ลั่น นายใหญ่ยังเป็นไทย 100% แถมจะกลับมาตายบ้านเกิดด้วย ฝ่าย “เฉลิม” ตั้งท่าซักฟอกขุนพล “สีน้ำเงิน” ให้งอม ส่วน “เพื่อแม้ว” เสียงแตกนัดถกใหม่ยื่นญัตติหรือไม่
* ครม. เด้งอธิบดีปกครองเข้ากรุ
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบบัญชีรายชื่อข้าราชการพลเรือนสามัญกระทรวงมหาดไทย ดังนี้ 1.นายพินิจ เจริญพานิช พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ไปดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรม การปกครอง 2.นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ พ้นจากอธิบดีกรมการปกครองไปดำรง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 3.นายมงคล สุระสัจจะ พ้นจากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการปกครอง 4.นายวิเชียร ชวลิต พ้นจากตำแหน่ง ผวจ.สุรินทร์ ไปดำรง ตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน 5.นายระพี ผ่องบุพกิจ พ้นจาก ผวจ.ศรีสะเกษ ไปดำรงตำแหน่ง ผวจ.สุรินทร์ และ 6.นายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ไปดำรงตำแหน่ง ผวจ.ศรีสะเกษ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
* วิจารณ์โยกฟ้าผ่าหลายสาเหตุ
หลังจากที่รู้ว่ามีคำสั่งโยกย้ายเข้าสู่ ที่ประชุม ครม. นายวงศ์ศักดิ์ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เก็บของเตรียมย้ายไปทำงานห้องผู้ตรวจราชการฯ ที่อาคารดำรงราชานุภาพทันที โดยตลอดช่วงบ่ายมี ผวจ. นายอำเภอ โทรศัพท์มาให้กำลังใจ รวมถึงนายพีรพลไตรทศาวิทย์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกโยกย้ายในสมัยนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ด้วย
ขณะเดียวกันมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สาเหตุที่นายวงศ์ศักดิ์ถูกโยกย้าย มาจากการไม่ตอบสนองฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการประมูลเช่าคอมพิวเตอร์ระบบทะเบียนราษฎร มูลค่า 3.49 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกรณีที่กระทรวงมหาดไทยเรียกอาวุธปืนสั้นคืนจากชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) มาที่กองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
* อธิบดีใหม่เคยเป็น ผวจ.บุรีรัมย์
สำหรับ นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ที่โยกย้ายเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ถือเป็นการเลื่อนชั้น ทั้งนี้นายมงคล จบคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง หรือสิงห์ทอง คนแรกที่ได้รับตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานายมงคลเติบโตอย่างรวดเร็วโดยปี 2547 เป็นรอง ผวจ.บุรีรัมย์ จากนั้นปี 2550 เป็น ผวจ.ศรีสะเกษ แล้วย้ายกลับไปเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ในปี 2551 ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา และยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี ทำให้ถูกจับตามองว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย คนต่อไปต่อจากนายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ต.ค. นี้
* “วงศ์ศักดิ์”โต้งัดข้อน้องเนวิน
ขณะที่นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง ให้สัมภาษณ์ภายหลังถูกโยกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยว่า ทราบข่าวมาก่อน หน้านี้แล้ว ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง ถือว่าอยู่ที่ไหนก็มีงานทำ ผู้ตรวจราชการฯ ก็ไม่ใช่งานนั่งตบยุง ส่วนสาเหตุที่ถูกโยกย้ายต้องไปถามผู้มีอำนาจ กระแสข่าวที่ว่าเป็นเพราะไม่สนองตอบต่อฝ่ายการเมืองนั้น ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่จะไม่นำเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่ออนุกรรมการ ข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ตนเป็นลูกผู้ชาย เรื่องโยกย้ายใครมีอำนาจก็คงใช้วิจารณญาณเหมาะสมแล้ว ตนให้เกียรติการ ตัดสินใจ
ส่วนกระแสข่าวการงัดข้อกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงาน รมว.มหาดไทย หลายเรื่องจนทำให้ถูกโยกย้ายนั้น อธิบดีกรมการปกครอง ปฏิเสธว่า ได้ยินเสียงวิจารณ์มาเช่นกัน แต่ไม่มีการงัดข้อใด ๆ ตนทำงานในหน้าที่ แต่ก็สำรวจตัวเองตลอดกระแสข่าวมีกระทั่งว่ามีการสกัดตนขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย
* แฉไม่ร่วมมือทำเรื่องไม่ถูกต้อง
นายวงศ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ภาพลักษณ์ของกรมการปกครองยอมรับว่าวันนี้ข้าราชการยังขวัญกระเจิง แต่พออะไร ๆ จะกลับสู่ภาวะปกติตนก็ต้องมาถูกย้ายเรื่องที่เป็นด้านลบตนก็ทำไม่ได้ ร่วมมือไม่ได้ ถ้าอึมครึมมาก ไม่ย้ายตน ตนจะทำ เรื่องย้ายออกไปเอง เมื่อถามย้ำว่า เรื่องที่ทำให้ข้าราชการขวัญกระเจิงคือเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่ นายวงศ์ศักดิ์ ยอมรับว่า คนพูดกันเรื่องนี้มาก การโยกย้ายถ้ามีปัญหาก็น่าเป็นห่วง ตนอยากสร้างขวัญกำลังใจให้ข้าราชการ ให้เรื่องนี้มีความเป็นธรรม
“พอมีข่าวผมถูกโยกย้าย ผู้ใหญ่ ในกระทรวงบางท่านก็โทรฯ มาว่าอธิบดีที่มาใหม่ เคยเป็น ผวจ.บุรีรัมย์ ไม่ใช่หรือ คนที่มาแทนอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนก็มา จาก จ.สุรินทร์ ภาพมันเป็นอย่างนี้ คงวิเคราะห์กันเอง ถูกต้องหรือไม่แล้วแต่จะมอง” อธิบดีกรมการปกครอง ระบุและว่า ตำแหน่งมันแค่หัวโขนไม่จีรัง อยากให้ข้าราชการพัฒนาตัวเอง อดทน ขยัน พยายาม ราชสีห์ก็คือราชสีห์ เส้นทางพุทธบอกว่า ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เห็นกันชาตินี้
* “ภท.”อ้างทุจริตสอบเข้า“นอภ.”
นายวงศ์ศักดิ์ กล่าวด้วยว่า พูดกับข้าราชการกรมการปกครองเสมอว่าผู้ที่หากินโดย 1.ใช้อำนาจหน้าที่ 2.ใช้โอกาสของตัวเองที่รวยหรือมีอิทธิพลกว่า 3.ใช้ความฉลาดบนความไม่รู้ของผู้อื่น เป็นบุคคลที่ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็นมนุษย์ ตนเป็นคนถือยุติธรรม ยังเคยพูดกับ รมว.มหาดไทย ว่า ขอย้ายไปเป็น ผวจ. หรือผู้ตรวจราชการฯ ก็ได้ ถ้าต้องทำบางเรื่องที่ทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นเข้ามาทำแทน ส่วนอธิบดีกรมปกครองคนใหม่คงรับนโยบายมาแล้ว คงไม่มีอะไรต้องบอก ทั้งนี้ตนกำลังสนใจงานการเมือง แต่ต้องไม่เป็นการเมืองสกปรก เอาคนที่มีคุณธรรมมาเป็นทีม คงจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ทำงานการเมือง สร้างการเมืองมีเหตุผล สัจธรรม คุณธรรม เพราะอยากเห็นสังคมไทยสว่าง แต่ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าพรรคสีไหน คงไม่ใช่สีน้ำเงิน
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการโยกย้ายอธิบดีกรมการปกครอง โดยปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยว กับการเลือกตั้ง แต่สาเหตุเพราะเกี่ยวข้องกับกรณีการทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ที่อยู่ในระหว่างการสอบสวน ชั้นอนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
* “ครม.”ปัดประชุมร่วม ม.179
รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม. แจ้งว่า นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกฯ ได้รายงานให้ ครม. ทราบกรณีวุฒิ สภาต้องการให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องการแก้ ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงตามมาตรา 161 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จึงได้ขอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.)ได้รายงานสถานการณ์ทั้งหมดเพื่อจะได้ ตัดสินใจว่าควรจะไปชี้แจงวันใด อย่างไรก็ตามสำหรับการเปิดประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 179 นั้นเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะ มีการเปิดในขณะนี้ เนื่องจากรัฐบาลประสบความสำเร็จในเรื่องการปิดพีทีวีของคนเสื้อแดง แต่หากมีการเปิดประชุมร่วมพรรคเพื่อไทยและ ส.ว. บางกลุ่มอาจใช้โอกาสนี้ มาอภิปรายเพื่อดึงมวลชนมาเข้าร่วมชุมนุมได้อีก
* “มาร์ค”ทุบโต๊ะฟุ้ง ส.ว. 3 พ.ค.
ข่าวแจ้งว่า นายสุเทพได้แสดงทีท่าไม่เห็นด้วยและไม่อยากไปชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาตามมาตรา 161 โดยให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ยังไม่จบ และยังไม่ เห็นว่าแนวทางจะลงเอยอย่างไร ถ้าเปิดสภาให้มีการแสดงความคิดเห็นกันจะยิ่งขัดแย้งและเลอะเทอะไปกันใหญ่ ขอเวลาอีก 10-15 วัน เหตุการณ์น่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ ตามนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ได้กล่าวแย้งว่า ควรจะไปชี้แจงต่อวุฒิสภา มิฉะนั้นอาจจะถูก ส.ว. มองหรือตั้งแง่ไปในทางตรงกันข้าม และอาจยิ่งทำให้สถานการณ์มีปัญหามากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดนายกฯ จึงสรุปให้ไปชี้แจงต่อวุฒิสภาในวันที่ 3 พ.ค. นี้
ขณะเดียวกัน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมสภาวันที่ 28-29 เม.ย. นี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าการประชุมสภาทั้งสองวัน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะเสนอญัตติด้วยปากเปล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันอีกเช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่ประชุมเสียงข้างมากไม่เห็นชอบ
* ยัน“แม้ว”ยังเป็นคนไทย100%
วันเดียวกัน นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศโดยประกาศตัวว่าเป็นพลเมืองของประเทศ มอนเตเนโกรว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในบริบทที่ผู้สื่อข่าวถามว่ามาทำอะไรที่มอนเตเนโกร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ถือหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ของมอนเตเนโกรอยู่ เนื่องจากรัฐบาลมอนเตเนโกรมอบให้ พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีจิตใจเป็นคนไทย เกิดที่เมืองไทย และต้องการตายที่เมืองไทย ยืนยันว่าไม่มีนัยอื่นใด เพราะที่พักพิงของพ.ต.ท. ทักษิณ จริง ๆ คือ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนที่ประเทศมอนเตเนโกรนั้นเป็นการลงทุนทำธุรกิจโรงแรมเล็กน้อยเท่านั้น
* “เหลิม”ชี้ซักฟอก“เมษาเลือด”
ที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า หากพรรคมีมติยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจยืนยันว่ามีความพร้อมทำงาน ได้ทันที ส่วนช่วงเวลาที่จะยื่นญัตติเลือก ไม่ได้ เพราะสภาผู้แทนราษฎรจะปิดประ ชุมสมัยสามัญทั่วไปในวันที่ 21 พ.ค. นี้ เมื่อฝ่ายค้านยื่นญัตติแล้ว ประธานสภา จะสอบถามความพร้อมรัฐบาล หากมีความพร้อมจะตอบรับกลับมาภายใน 24 ชั่วโมงก็ได้ แต่โดยประเพณีปฏิบัติจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ แต่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์คงมีความพร้อมอยู่แล้ว
ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยประเด็นการอภิปรายแต่หากที่ประชุม ส.ส. มีมติให้ยื่นอภิปราย ประเด็นการออกคำสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงวันที่ 10 เม.ย. ต้องถูกนำมาอภิปรายด้วย เพราะผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ย่อมมีข้อมูลเชิงลึกอยู่แล้ว
* ตั้งป้อมขยี้ขุนพล“ภูมิใจไทย”
ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีที่จะยื่นอภิปรายนั้น ร.ต.อ.เฉลิม เปิดเผยว่า นอกจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ที่เคยระบุไว้แล้ว ครั้งนี้จะเสนอชื่อนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เพิ่มเติมอีกคน เพื่อจะได้ขยี้พรรคภูมิใจไทยให้ตายก่อนเข้าสู่สมรภูมิการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะได้ปิดฉากภาคอีสาน ที่สำคัญการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะขาดชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี และ นายกษิต ไม่ได้ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้เหมือน กินแกงจืดไม่ใส่น้ำปลา สมาชิกพรรคคงไม่ยอมแน่ อย่างไรก็ตามไม่ทราบว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะมีข้อมูลใหม่มาใช้ในการอภิปรายหรือไม่ แต่ส่วนตัวมีความพร้อมเรียบร้อย แล้ว และงานนี้รัฐบาลเหมือนไก่ตรุษจีน ถูกเชือดยกเล้า
* เสียงแตกไม่สรุปยื่นญัตติหรือไม่
ต่อมาเวลา 17.30 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุม ส.ส. กว่า 2 ชั่วโมงว่า ที่ประชุมมีมติ 2 เรื่อง คือ 1.แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส. ยโสธร นายประยุทธ์ ศิริพานิช ส.ส. มหาสารคาม และ 2.กรณีคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์และการเมือง เสนอให้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น เนื่องจากสมาชิกส่วนหนึ่งเห็นเป็นเรื่องใหญ่และยังมีรายละเอียดที่ต้องเสนอและพูดคุยอีกจำนวนมาก อีกทั้งจำเป็นต้องหารือกับ คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อความรอบ คอบด้วย คาดว่าพรรคจะนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 29 เม.ย. นี้ ทั้งนี้ส่วนที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้นั้น ไม่เกี่ยวกับแนวทางที่ขัดแย้งกับกลุ่มเสื้อแดงที่เรียกร้องให้นายกฯ ยุบสภาทันที
* “เพื่อแม้ว”เดือดซัดกันนัวเนีย
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเริ่มเข้าการพิจารณาวาระยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ฯ ได้นำ เสนอเหตุผลที่เห็นสมควรยื่นญัตติ จาก นั้นได้เปิดให้มีการถกเถียงและอภิปรายอย่างกว้างขวาง ฝ่ายที่สนับสนุนให้ยื่น ญัตตินำโดย ร.ต.อ.เฉลิม มีเหตุผลสำคัญเพื่อใช้เวทีสภาสื่อสารกับประชาชน ผ่านสื่อโทรทัศน์ที่ถูกปิดกั้นในช่วงเวลาดังกล่าว
ขณะที่ฝ่ายคัดค้านนำโดยนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ แย้งว่าหาก ยื่นญัตติจะเข้าทางรัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างไม่ยุบสภาไม่ลาออก สุดท้ายเสียงมาก ในระบบรัฐสภาก็จะลากไป และขณะนี้ แกน นำคนเสื้อแดงมั่นใจว่าจะสามารถ เผด็จ ศึกรัฐบาลได้ภายใน 2 วันนี้ อย่างไร ก็ตามหลังจากสองฝ่ายเริ่มถกเถียงทำ ให้บรรยากาศตึงเครียด กระทั่งนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.คมนาคม ได้เสนอให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน
* “ปชป.”แจงขั้นตอนต่อสู้คดี
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งสำนวนกรณีการใช้เงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วนั้น ศาลต้องใช้เวลาพิจารณาว่าจะมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ หากมีมติรับเรื่องก็จะเป็นขั้นตอนรวบรวมเอกสาร ช่วงนี้จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน จากนั้นจะส่งคำร้องมาให้พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน แต่พรรคสามารถขอยืดระยะเวลาได้ประมาณ 1 เดือน
ส่วนที่มีการยกกรณียุบพรรคพลังเกษตรกรขึ้นมาเทียบเคียงกับคดีนี้นั้น คณะทำงานฝ่ายกฎหมายรายนี้ เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริง 2 กรณีไม่ตรงกัน พรรคพลังเกษตรกรถูกยุบพรรค เนื่องจากแจ้งบัญชี การใช้เงินจากกองทุนดังกล่าวเกินกำหนดเวลา
* แย้ม กกต. ตัดสิน 2 หนแย้งกัน
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเงิน 29 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์กกต.ชุดเดียวกันนี้เคยมีมติเมื่อปี 2550 ว่าพรรคไม่ได้กระทำผิดและให้ยุติการสอบสวน แต่เมื่อมีการพิจารณาใหม่และสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นสิทธิของ กกต. “นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้กำชับว่าอย่าประมาท ขอให้ดูรายละเอียด แม้กระทั่งข้อกฎหมายและระเบียบของ กกต. หากมีการสอบถามจะต้องตอบได้ทันทีว่าแต่ละมาตราคืออะไร และวันที่ 29 เม.ย. นี้ จะมีการประชุมคณะทำงานอีกครั้ง ระหว่างนี้คณะทำงานจะประชุมกันเป็นระยะ เพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอต่อนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความจากสำนักกฎหมาย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้คดีที่ชัดเจน ขณะนี้นายบัณฑิตติดภารกิจอยู่ในต่างประเทศ”
* “พท.”เล็งตั้งทีมเกาะติดข้อมูล
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จะขออนุญาต พรรคเพื่อไทยให้ตั้งคณะกรรมการจำนวน5 คน เพื่อทำหน้าที่ติดตามคดียุบพรรค ประชาธิปัตย์ทั้งสองกรณี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องธรรมดาที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะออกมาแสดงความมั่นใจว่าจะไม่ถูกยุบพรรค แต่กลัวหรือไม่กลัว เดี๋ยวก็รู้กัน เพราะหลักฐานการกระทำผิดแน่นหนา อีกทั้งตนไปเบิกความกับ กกต. ด้วยตัวเอง ถ้างานนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ จะบนหัวหมู 9 หัวสังเวยให้ความไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม แต่มั่นใจต่อให้พรรคประชาธิปัตย์ติดปีกก็หนี ไม่พ้น เพราะทำมาเองกับมือ พรรคเพื่อไทยไม่ได้สมน้ำหน้า แต่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะได้รับกรรมที่ตัวเองได้ทำไว้
* “ศาล รธน.”เดินเครื่อง 28 เม.ย.
นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องกรณีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาทจาก กกต. แล้ว เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมาตามคำร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์ในกรณีเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายตามมาตรา 62 และ 65 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 และมาตรา 82 และ 83 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2550 ดังนั้นทางธุรการถือว่ารับคำร้องแล้ว และวันเดียวกันนี้ได้นำเสนอไปยังประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งให้นำเข้าวาระพิจารณาในที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเช้าวันที่ 28 เม.ย. เพื่อดูว่าคำร้องดังกล่าวจะเข้าองค์ประกอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่อย่างไร
* คาดสัปดาห์หน้าส่ง อสส. อีกคดี
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เปิดเผยความคืบหน้าการส่งสำนวนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า คาดว่าสัปดาห์หน้าจะส่งสำนวนกรณีนี้และสำนวนคดีเงินกองทุนพัฒนาพรรค การเมือง จำนวน 29 ล้านบาท ไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาได้ เพราะกรณีนี้เป็นไปตามมาตรา 93 และ 94 ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองหากอัยการสูงสุดไม่รับพิจารณาสำนวนเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาท ก็ไม่มีปัญหา เพราะ กกต. ได้ส่งสำนวนนี้โดยตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว สำหรับคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท หากอัยการสูงสุดเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอและจะส่งกลับมาคงต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร
“ขอยืนยันว่าการที่ส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการโยนเผือกร้อนให้กับศาลรัฐธรรมนูญ แต่เป็นไปด้วยระยะเวลา ที่ กกต. ได้พยายามดำเนินการมาอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนจะยุบหรือไม่แล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา” กกต.ผู้นี้ ระบุ
* “เจ๊สด”เผยรอศาลตัดสินชี้ขาด
เมื่อถามว่า มติเพิ่มเติมของ กกต. ที่ให้นายทะเบียนฯ ส่งคดีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาทให้ศาลรัฐธรรมนูญ จะส่งผลให้เกิดปัญหาในอนาคตหรือไม่ นางสดศรี ชี้แจงว่า เรื่องนี้นายทะเบียนฯ ได้เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคตามความเห็นของคณะทำงานเสียงข้างมาก 7 ต่อ 3 เสียง แต่เมื่อ กกต. เห็นว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องมาตรา 93 เป็นเรื่องที่นายทะเบียนฯ สามารถส่งความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่ขณะเดียวกัน กกต. ยังเห็นว่ากรณีนี้มีความผิดที่เกี่ยวโยงกับมาตรา 94 (3) และ (4) ที่ให้นายทะเบียนฯ ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพร้อมคดีเงินบริจาคด้วย
“เรื่องนี้ไปศาลดีที่สุดแล้ว เพราะ กกต.ไม่ใช่ศาล ถ้าหยุดไว้ที่ กกต. จะมี ความเคลือบแคลงสงสัย ถ้าไปที่ศาลจะได้มีการไต่สวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงมีความกระจ่างชัด หากศาลจะกลับมติของ กกต. ก็ไม่เป็นไร เพราะศาลจะมองข้อกฎหมายในหลายแง่ ผลจะออกมาอย่างไรก็ไม่กลัวว่าจะโดนฟ้อง เพราะกฎหมายให้ความคุ้มครองการใช้ดุลพินิจ” กกต. ระบุ
* “เทพไท”เย้ยดะ“แม้ว-เหลิม”
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอแสดงความดีใจกับประเทศมอนเตเนโกรที่รับนักโทษเป็นพลเมือง เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ประเทศไทยประหยัดข้าวแดงไปได้ อยากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศลาออกจากการเป็นคนไทย คืนบัตรประชาชน คืนยศพันตำรวจโท และคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหมด ที่สำคัญหาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะคนต่างด้าวก็จะไม่สามารถถือครองที่ดินหรือทรัพย์สินในประเทศได้ 100% เพราะต้องเป็นไปตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เตรียมนำเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. รวมทั้งคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มาอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น โฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่า ร.ต.อ.เฉลิม จะกล้าอภิปรายเรื่องการยุบพรรคอีกครั้งหรือไม่ เพราะรอบแรกพรรคได้ชี้แจงไปหมดแล้ว และขอเตือนว่าหากจะอภิปรายเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะอภิปรายใครกันแน่ ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล เผลอ ๆ จะอภิปรายคนชุดดำในเหตุการณ์ และส.ส. พรรคเพื่อไทยอาจจะต้องมาชี้แจงว่า เกี่ยวข้องหรือไม่.