"ร่าเริงบันเทิงใจ เป็นกำไรของชีวิต ถ้าวันไหนหงุดหงิด เป็นชีวิตที่ขาดทุน" "เยี่ยมคนป่วย ช่วยคนเจ็บ เก็บคนตาย ขายอารมณ์ขัน แบ่งปันความสุข" นี่คือสโลแกนชีวิตของชายสู้ชีวิตที่ชื่อ
“อนุศักดิ์ จังกาจิตต์”
“อนุศักดิ์ จังกาจิตต์” ชื่อนี้คงไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อ
“ซ่าส์ หมาว้อ” หลายคนคงเริ่มหลับตาแล้วคิดถึงหน้าชายคนนี้ในใจเพราะเป็นชื่อที่คุ้นหูขึ้นมาทันที ถูกต้องแล้วเขาเป็นเจ้าของสมญานามติดปากว่า
“คน 1,000 หน้า ซ่าส์ หมาว้อ” ชายตลกแสนทะเล้นผู้สร้างความครื้นเครงให้กับคนรอบข้างตามประสาต้นตำรับก็อปปี้โชว์
“ซ่าส์ หมาว้อ” ในปัจจุบันอายุอานามปาเข้าไป 70 ปีบริบูรณ์แล้ว หากจะเรียกลุงหรือเรียกน้าพี่แกคงไม่ว่าอะไร แต่ใครจะรู้เรื่องราวชีวิตของเขาบ้างที่ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่ง
“น้าซ่าส์” มีชื่อเล่นจริงๆว่า
“นิด” เกิดที่ จ.อุบลราชธานี มีพ่อเป็นถึง ผจก.ธนาคาร ส่วนแม่ก็เปิดร้านขายกาแฟที่บ้าน ฐานะค่อนข้างมีอันจะกิน มีพี่น้องรวม 7 คน แกเป็นที่ 2 และมีฝาแฝดคนน้องด้วยชื่อ
“หน่อย”
น้าซ่าส์ รำลึกความหลังว่า ชีวิตผมค่อนข้างไม่ขัดสน ครอบครัวรักและดูแลกันดี แต่ผมเป็นคนมีนิสัยขี้เล่น ชอบสร้างเสียงหัวเราะมาตั้งแต่จำความได้
ชีวิตมันเริ่มจากตอนอายุได้ 10 ขวบ มีลุงเป็นพระอยู่ที่วัดแถวฝั่งธนบุรี ผมอยากมาอยู่กับเขา มาเป็นเด็กวัดก็ได้ คิดแค่ว่าดีใจที่จะได้มา กทม.คิดไม่นานก็ย้ายจากอุบลฯมาพักที่วัดใน กทม.กับหลวงลุงทันที
“ตอนที่มาอยู่วัดได้เลือกไปเรียนเพาะช่าง รู้สึกว่าเท่ดีและชอบด้วย คือชอบวาดรูป ที่สำคัญสมัยนั้นดารานักแสดงมักจะจบเพาะช่างค่อนข้างเยอะ ผมก็อยากเป็นดาราเหมือนกัน กระทั่งวันหนึ่งขณะกำลังซักผ้า พอดีผงซักฟอกมันหมด ผมหันไปเห็นยาสระผมยี่ห้อแฟซ่า จึงหยิบเอามาใช้ซักผ้ามันเสียเลย หลวงลุงมาเห็นเข้าก็ตกใจและขำ จากนั้นท่านก็เรียกผมว่าไอ้แฟซ่ามาตลอด หรือเรียกสั้นๆว่า ไอ้ซ่าส์”
นายอนุศักดิ์ เล่าต่อว่า เรียนจบจนเพาะช่างก็ยังไม่ได้เข้าสู่วงการบันเทิงอะไร สุดท้ายต้องกลับบ้านที่อุบลฯไปทำงานธนาคารเหมือนพ่อ แต่ทำได้แค่ 4 ปี ก็ลาออก เพราะใจไม่ชอบจริงๆ พ่อก็เสียใจนะแต่ทำยังไงได้ มันไม่ไช่แบบของเราเลย จากนั้นก็ทำอีกหลากหลายอาชีพ อาทิ
นักข่าวท้องถิ่น จ.อุบลฯ ขี่สามล้อ ชกมวยสมัครเล่น เป็นกระเป๋ารถสองแถว เพ้นท์ลายเสื้อตามร้านตัดเสื้อ เป็นนายแบบทรงผมก็ยังเคย ฯลฯ ด้วยความที่เราหน้าตาออกจีนๆคล้ายกับเฉินหลง เขาเลยให้เป็นนายแบบทรงผมไปโดยปริยาย
ชีวิต
“น้าซ่า” หันเหอีกครั้งหลังจากจับต้องมาหลายงาน แต่ยังไม่ใช่งานที่รักสักงาน สุดท้ายต้องกลับมาที่ กทม.เพื่อขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ย่านวัดดงมูลเหล็ก ฝั่งธนฯ พร้อมกับรับจ็อบเขียนป้ายร้านอาหารไปด้วย
“ต่อมาผมเลิกขายก๋วยเตี๋ยวเพราะมีเพื่อนมาชวนไปเล่นดนตรีแถวคลองเตย ผมไม่คิดมากเลย คือตัดสินใจเลิกกิจการแล้วไปอยู่กับเพื่อนเลย อาจเพราะด้วยความที่เราไม่ชอบจำเจ ไม่ชอบอยู่กับที่ด้วยมั๊ง เวลาใครชวนไปทำอะไรที่เกี่ยวกับการสร้างความสนุกสนานความบันเทิง ผมไปหมดแหละ ชีวิตผมมันก้าวไปทีละขั้นๆไม่หยุด จนได้มารู้จักกับเพื่อนนักดนตรีอีกคนหนึ่ง เขาก็ชวนเราไปเล่นดนตรีโชว์ร้องเพลงตามร้าน ปรากฏว่าลูกค้าชอบ พวกเราเลยคิดตั้งชื่อของตัวเองเพื่อให้คนติดปาก”
ต้นตำรับก๊อปปี้โชว์ 1,000 หน้า มีลูกศิษย์มากมาย เช่น
ไมเคิ่น ตั๋ง, เจเน็ต เขียว , ปีเตอร์ โฟดิฟาย , อู๊ด เป็นต่อ รวมทั้งเหล่าก็อปปี้โชว์รุ่นใหม่และโคลนนิ่งโชว์ เล่าอีกว่า เราคิดตั้งนานว่าจะใช้ชื่ออะไรดี คำว่าซ่าส์เป็นตัวเราอยู่แล้ว ก่อนจะจำได้ว่าเคยไปดูหนังที่อุบลฯเรื่อง
“หนองหมาว้อ” ซึ่งแปลว่าหมาบ้า จึงปิ๊งไอเดียว่าชอบชื่อนี้ เลยจับมารวมกันเป็น
ซ่าส์ หมาว้อ แบบนี้แหละ
“ตลก 1,000 หน้า” บอกต่อว่า เมื่อปี 2523 บังเอิญช่อง 3 เขาเปิดรับนักเรียนการแสดง ที่รู้เนื่องจากช่วงนั้นไปรับจ็อบทำงานฝ่ายศิลป์ให้ช่องเขาด้วย รู้ปุ๊บก็แอบไปสมัครทันที เขาก็มีละครให้เล่นนะ แต่เป็นแค่ตัวประกอบบ้างเอ็กซ์ตร้าบ้าง กระทั่งช่อง3 จ้าง “ติงลี่” ที่เป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ที่ดังสุดๆมาโชว์ตัว เขาก็ถามว่าใครร้องเพลงเจ้าพ่อเซียงไฮ้ได้บ้าง ผมรีบยกมือทันที
“จุดๆนั้นกลายเป็นชีวิตพลิกผันเลย เขาให้ผมแต่งตัวและเล่นเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ตัวปลอม เพื่อเอามาหลอกคนดูก่อน แล้วค่อยให้ติงลี่ตัวจริงขึ้นมาทีหลัง ปรากฎว่าผมหลอกคนดูได้หมด ทุกคนเชื่อว่าเป็นติงลี่ตัวจริง ก่อนที่ผมจะเฉลยความจริงแล้วทำท่าตลกๆบนเวที พอคนดูรู้ความจริงก็ฮือฮาและตลกขบขันสุดๆ ต่างพากันเรียกผมว่า ตลก 1,000 หน้า เพราะปลอมเป็นคนดังได้เหมือนมาก กลายมาเป็นต้นตำรับก็อปปี้โชว์ตั้งแต่นั้นมา”
ชีวิตที่เหมือนพุ่งขึ้นสุด คนทั่วไปเริ่มรู้จัก ใครๆคงจะคิดว่าชายคนนี้น่าจะมีแต่ความสนุกสนานเพราะไม่ประสบกับความทุกข์ใจเลย ซึ่งผิดถนัดเพราะ
เมื่อเข้าสู่ปี 2535 ชีวิตพลิกผันหนักหน่วง เพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันถูกรถชนเสียชีวิต แม่ก็เสียชีวิต แฟนสาวมาขอเลิกรา ถึงขั้นตกเวทีการแสดงจนแขนหัก มันทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ในชีวิตเช่นกัน แต่ถ้าจะบอกนั่นไม่ใช่สิ่งที่หนักที่สุดจะเชื่อหรือไม่
ต้นตำรับก๊อปปี้โชว์ เผยอีกแง่มุมว่า ด้วยความที่ผมนอนน้อย กินไม่เป็นเวลา กินของไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจึงส่งผลให้เป็น
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญเข้าสู่ระยะที่ 3 ใกล้จะระยะที่ 4 แล้วด้วย ต้องผ่าตัดยาวนาน 6 ชม. มันทรมานมาก ลองคิดดูว่าตอนนั้นอายุ 60 ปี ซึ่งแซยิดแล้วแต่ต้องนอนเจ็บปวดทรมานนานถึง 10 เดือน ความรู้สึกมันเกินบรรยาย แต่แล้ววันหนึ่งพอเราได้อยู่นิ่งๆได้นึกคิดอะไรมากขึ้น จึงเกิดเป็นพลังคิดบวกขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับการต่อสู้กับเจ้าโรคนี้ โดยใช้ชื่อว่า
“มะเร็งหัวเราะ” หวังต้องการให้กำลังใจคนที่เป็นมะเร็ง
“ผมเขียนหนังสือไป เอาพลังใจจากการเขียนมาสร้างพลังบวกให้ตัวเองด้วย สุดท้ายจึงได้ตีพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค แล้วเชื่อมั้ยตอนที่ผมเริ่มดีขึ้น ผมรีบออกไปทำงานเป็นจิตอาสาเลย อยากสร้างพลังให้คนป่วย เช่น เป็นครูสอนการแสดง ร้องเพลงตาม รพ. ทำเพลงให้กำลังใจ ให้ความรู้คนเป็นมะเร็ง ทำให้รู้ว่านี่แหละคือตัวตนของผมจริงๆที่อยากจะทำในบั้นปลายชีวิต ก่อนที่จะออกหนังสืออีกเล่มในชื่อ มะเร็งร้องไห้ ความหมายก็ตามนั้นคือจะทำให้เจ้ามะเร็งร้องไห้ไปเลยเมื่อมาเจอคนร่ำรวยหัวเราะและสร้างรอยยิ้มอย่างเรา”
“ผมยังไม่ตาย พวกคุณก็ต้องไม่ตาย อย่าเครียด หาความสุขให้ชีวิต ใช้ดนตรีบำบัด หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเองเพราะเราจะรู้ตัวเองดีที่สุด รพ.ที่ดีที่สุดคือห้องครัวเพราะการกินสำคัญมาก อาหารมีคุณค่ายิ่งสำคัญที่สุด อยากให้คนที่เป็นมะเร็งต้องให้กำลังใจตัวเองก่อน อย่ารอให้คนอื่นมาให้กำลังใจ ผมจะไม่หยุดที่จะพัฒนาและรักษาเอกลักษณ์ของศิลปิน ไม่ให้ทุกคนลืมเลือน เพราะผมรักการเล่นโฟล์คซอง รักการเป็นก็อปปี้แบบ"พาโรดี้"หรือ"ล้อเลียน" จะเป็นเช่นนี้จนกว่าจะไม่มี"ลมหายใจ"
เพลงดอกฟ้ากับหมาว้อ (แอ๊ด คาราบาว) กำลังใจให้ซ่าส์หมาว้อ
.........................................
คอลัมน์ :
นิยายชีวิต
โดย :
คุณสลีป
อ่านนิยายชีวิตทุกตอนได้ที่นี่